สื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ Production of Motion Infographic “HIV is not the AIDS” นา ยรัชชานนท์ อภิญญารุ่งพิทยา รหัสประจ าตัว 57426 5119 หมู่เรียน 57 / 3 3 โ ครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชา 7134902 โครงงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 256 1 สื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ Production of Motion Infographic “HIV is not the AIDS” นายรัชชานนท์ อภิญญารุ่งพิทยา รหัสประจ าตัว 574265119 หมู่เรียน 57/33 โ ครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชา 7134902 โครงงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 256 1 โครง งาน ด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่อง สื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ ได้รับพิจารณาให้นับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ (เทคโนโลยี มัลติมีเดีย ) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 วัน/เดือน/ปี 22 เมษายน 2562 ............................................. ( นายรัชชานนท์ อภิญญารุ่งพิทยา) ผู้จัดทา ............................................. ( อาจารย์ สมจินต์ จันทรเจษฎากร ) ประธานกรรมการสอบ ............................................. ( อาจารย์ ดร.ปริพัส ศรีสมบูรณ์ ) กรรมการสอบ ............................................. (อาจารย์ศุภกฤษ นาคป้อมฉิน) กรรมการสอบ ............................................. ( อาจารย์สุขสวัสดิ์ แซ่ลิ่ม ) กรรมการสอบ ............................................. (อาจารย์พิชยา สุขปลั่ง) อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ............................................. (อาจารย์แก้วใจ อาภรณ์พิศาล) ประธานสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ก หัวข้อโครงงาน สื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ Production of Motion Infographic “HIV is not the AIDS” ผู้จัดท า นาย รัชชานนท์ อภิญญารุ่งพิทยา อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ พิชยา สุขปลั่ง ระดับการศึกษา ปริญญาตรี สาขา เทคโนโลยีสารสนเทศ (เทคโนโลยี มัลติมีเดีย ) ภาคเรียนที่/ปีการศึกษา 1 / 2561 บทคัดย่อ สื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์มีความยาว 8 .05 นาที ใช้กระบวนการ 3 P ในการผลิตประกอบด้วย 1) Pre - Production - ก่อนการผลิต 2) Production - การผลิต และ 3) Post - Production - หลังการผลิต โดยมีเนื้อหาแบ่งได้เป็น 5 ประเด็น คือ 1) ความแตกต่างระหว่างเอชไอ วีและเอดส์ 2) ช่องทางการติดต่อและพฤติกรรมที่เสี่ยงและพฤติกรรมที่ไม่เสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี 3) การ ดูแลและป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวี 4) วิธีการตรวจเอชไอวีแบบต่าง ๆ และ 5) ป ระเภทของยาต้าน ไวรัสแบบต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเทคนิคการออกแบบโมชันอินโฟกราฟิกที่มีความน่าสนใจ ประกอบกับเทคนิค การเคลื่อนไหวทาให้เกิดความโดดเด่น และยังมีเนื้อหาที่กระชับดูเข้าใจง่าย ในการพัฒนาสื่อได้รับคาแนะนา ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วน าสื่อที่ แก้ไขปรับปรุงแล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความ ถูกต้อง อีกครั้ง ผลการทาแบบทดสอบ ก่อน ชมสื่อของนักศึกษากลุ่มเป้าหมายจานวน 100 คน พบว่ากลุ่มเป้าหมาย สามารถ ตอบคาถาม ถูกต้องได้คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 34% ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0. 45 และผลการทาแบบ ทอสอบหลังชมสื่อ นักศึกษากลุ่มเป้าหมาย ตอบค าถามถูกต้อง ได้คะแนนเฉลี่ย ที่ 82% ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานอยู่ที่ 0. 39 ซึ่งผลการทาแบบทดสอบหลังจากกลุ่มเป้าหมายได้รับชมสื่อ โมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ แล้วสามารถตอบคาถามถูกต้องเพิ่ม จากแบบทดส อบก่อนชมสื่อ ขึ้นคิดเป็น 48 % ผลการศึกษา ความพอใจพึงพอใจในการรับชมสื่อโมชชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ ใน จาก กลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาจานวน 100 คน โดยรวมแล้วพบว่านักศึกษามี ความพึงพอใจอยู่ใน ระดับ มากที่สุด ที่ค่ าเฉลี่ย 4.58 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.43 ผลการประเมินคุณภาพสื่อโมชันอินโฟกราฟิกโดยผู้เชี่ยวชาญ 10 ท่านพบว่า คุณภาพ ด้านคุณภาพ ของเนื้อหาอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ย 4.11 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.67 ผลการประเมินด้านความ เหมาะสมในการออกแบบอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ ย 4.23 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.77 และเมื่อ พิจารณา ผลการประเมิน คุณภาพสื่อโมชันอินโฟกราฟิก โดยผู้เชี่ยวชาญ ในภาพ รวมแล้วพบว่าอยู่ในระดับ มาก ที่ค่าเฉลี่ย 4.17 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.72 ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานสื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ ากับเอดส์ สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเพราะได้รับ ความกรุณาและอนุเคราะห์เป็นอย่างดี จาก ท่านอาจารย์พิชยา สุขปลั่ง ที่ปรึกษาโครงงาน ที่ได้ ให้คาปรึกษา แนะนา ตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนของการจัดทาโครงงาน ผู้พัฒนาสื่อตระหนักถึง ความตั้งใจจริงของท่านอาจารย์ที่พร้อมสละเวลา คอยติดตามการทางาน ทาให้เป็นแรงผลักดันที่จะพัฒนา โครงงานให้สาเร็จลุล่วง จึงกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณ คุณ ธัญรดา แก้วทิ ต ย์ นักวิชาการสาธารณสุขชานาญการ ผู้รับผิดชอบงานเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ฝ่ายควบคุมโรค ติดต่อ สานักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม สานักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้ง บุคลากรประจ าฝ่ายควบคุมโรคติดต่อทุกท่าน ขอขอบพระคุณ ศ าสตราจารย์ นายแพทย์ ชาญชัย สุชาติวัฒนชัย ภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ขอขอบพระคุณ คุณรวีวรรณ พงศ์พุทธชาติ พยาบาลวิชาชีพ ชานาญการ ผู้ประสานงานเอดส์คลินิกยาต้านไวรัส โรงพยาบาลโพธาราม ตลอดจน แพทย์ พยาบาล และ เภสั ชกรโรงพยาบาลโพธาราม รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทุก ๆ ท่าน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญ แนะนา แก้ไขและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และสื่อโมชันอินโฟกราฟิก มีความถูกต้องสมบูณ์ อีกทั้งยังได้ให้ กาลังใจ รวมถึงได้อนุเคราะห์ มอบสื่อสิ่งพิมพ์ โปสเตอร์ ที่สามารถนาข้อมูลไปใช้ต่อยอดได้ จึง ขอ ขอบพระคุณ ทุก ๆ ท่าน มา ณ ที่นี้ โครงงานนี้ จะไม่อาจสาเร็จลุล่วงไปได้เลย หากไม่ได้รับความกรุณา ให้คาแนะนาจากท่าน อาจารย์ วิน วารินทร์ วิทยากรอบรมหลักสูตรการออกแบบให้กับบริษัท (มหาชน) หลายแห่ง จากสถา บันสอนกราฟิก Motion Graphic Plus ที่ได้สอนเทคนิค แนวคิด วิธีการใช้งาน และการออกแบบที่ดีและเป็นมืออาชีพ อีก ทั้ง ยังได้สละเวลาเพื่อให้คาแนะนา ตอบคาถาม เมื่อติดขัดปัญหาบางอย่าง ส่งผลให้สามารถพัฒนาสื่อโมชัน อินโฟกราฟิกออกมาได้น่าสนใจ ขอขอบคุณ บริษัท ดีบี ดี ไซน์ จากัด ที่ให้ความอนุเคราะห์และอนุญาตให้ ใช้แบบอักษร ชุด DB Adman X และ DB Helvethaica X Mon เพื่อประกอบการผลิตสื่อโมชันอินโฟ กราฟิกในครั้งนี้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ผู้พัฒนาสื่อจึงขอขอบพระคุณอย่างสูง ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทุก ท่าน ขอขอบคุณ ผู้ปกครองที่ได้ สนับสนุนทุนทรัพย์ในระหว่างการทาโครงงาน และขอขอบคุณผู้รับชมสื่อทุก ๆ ท่านที่สละเวลาและให้ ความร่วมมือทาแบบทอสอบ และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้พัฒนาสื่อยินดีรับฟังค าแนะน าจาก ทุกท่าน และ ยินดี น้อมรับคาติชมต่า ง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาสื่อในโอกาสต่อไป นายรัชชานนท์ อภิญญารุ่งพิทยา 22 เมษายน 2562 ค ส ารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ สารบัญภาพ ฉ บทที่ 1 บทนา 1 1.1 ที่มาและความสาคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ 4 1.3 ขอบเขตของงานวิจัย 4 1.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 5 1.5 ระยะเวลาดาเนิ นงาน 6 บทที่ 2 หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 7 2.1 เชื้อไวรัสเอชไอวี 7 2.2 โรคเอดส์ 16 2.3 องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 20 2.4 โปรแกรมที่ใช้ในโครงงาน 51 2.5 งานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง 54 บทที่ 3 วิธีดาเนินงาน 57 3 1 Pre - Production ( ขั้นตอนการเตรียมการผลิต) 57 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 58 3.3 วิเคราะห์โมชันอินโฟกราฟิก 62 3 4 เขียนโครงเรื่องโมชันอินโฟกราฟิก 62 3 .6 การออกแบบลาดับภาพ ( Storyboards) 73 3.7 Production ( ขั้นตอนการผลิต) 86 3.8 Post - Production ( ขั้นตอนหลังการผลิต) 86 3.9 การเก็บรวบรวมข้อมูล 86 ง ส ารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการศึกษา 87 4 1 ลักษณะทั่วไปของโครงงานที่พัฒนา 87 4 2 การออกแบบสื่อโมชันอินโฟกราฟิก 88 บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 108 5.1 สรุปผลการด าเนินงาน 108 5.2 ปัญหาและข้ อจากัด 110 5.3 แนวทางการนาไปใช้ 112 5.4 ข้อเสนอแนะ 113 บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก คู่มือวิธีใช้งานวิจัยสื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ ภาคผนวก ข งานวิจัยสื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ งานการประชุม วิชาการระดับชาติ การจัดการเทคโนโลยีปลพนวัตกรรม ครั้งที่ 5 ภาคผนวก ค แบบสอบถามเพื่อประเมินคุณภาพสื่อโมชั นอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่ เท่ากับเอดส์ ประวัติผู้พัฒนาสื่อ จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 1.1 แสดงโอกาสการติดเชื้อเอชไอวี ( Risk of getting HIV ) 3 ตารางที่ 1. 2 แสดงระยะเวลาการด าเนินงานทั้งหมดของโครงการ 6 ตารางที่ 3.1 แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจของผู้รับชมสื่อ 58 ตารางที่ 3.2 โครงเรื่องขยาย ( Treatment ) 62 ตารางที่ 3. 3 บทโมชันอินโฟกราฟิก ( Screenplay ) 66 ตารางที่ 3.4 ออกแบบลาดับภาพ หรือ Storyboards 73 ตารางที่ 4.1 ภาพหน้าจอของสื่อโมชันอินโฟกราฟิก - Screenshot 88 ตารางที่ 5.1 ผลการทาแบบทดสอบก่อนชมสื่อจากกลุ่มนักศึกษาจานวน 100 คน 108 ตารางที่ 5.2 ผลการทาแบบทดสอบหลังชมสื่อจากกลุ่มนักศึกษาจานวน 100 คน 109 ตารางที่ 5.3 ผลการประเมินความพึงพอใจต่อผู้รับชมสื่อโมชชันอินโฟกราฟิก 110 ตารางที่ 5.4 ผลการประเมินคุณภาพสื่อโมชันอินโฟกราฟิกโดยผู้เชี่ยวชาญจานวน 10 ท่าน 111 ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ 1.1 แผนภูมิอัตราผู้ติดเชื่อ HIV ใหม่ 2 ภาพที่ 1.2 สัดส่วนคาดการณ์ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละกลุ่มคนระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2562 2 ภาพที่ 2.2 ข้อความในโปรแกรม Notepad และ Microsoft Word 20 ภาพที่ 2.3 ภาพนิ่งที่ถ่ายจากกล้อง Canon EOS 80 D 21 ภาพที่ 2.4 แสดงแอนิเมชันการเคลื่อนไหวของเด็กชาย 22 ภาพที่ 2.5 วิดีโอที่เปิดด้วยโปรแกรม Windows Media Player 23 ภาพที่ 2.6 เปรียบเทียบอัตราส่วนการแสดงผลของจอภาพมาตรฐานต่าง ๆ 26 ภาพที่ 2.7 แสดงลักษณะของ HDTV แบบ 1080 p 27 ภาพที่ 2.8 มาตรฐานโทรทัศน์ระบบดิจิทัล และการใช้งานทั่วโลก 29 ภาพที่ 2.9 Test Card ของระบบโทรทัศน์แบบ NTSC 30 ภาพที่ 2.10 Test Card PAL plus ของระบบโทรทัศน์แบบ PAL 30 ภาพที่ 2.11 ภาพ test TV screen ของระบบโทรทัศน์แบบ SECAM 31 ภาพที่ 2.12 : ตัวอย่างอินโฟกราฟิก 32 ภาพที่ 2 1 3 อินโฟกราฟิก เรื่อง หลักการออกแบบอินโฟกราฟิก 33 ภาพที่ 2.14 ตัวอย่างลักษณะของอินโฟกราฟิก 36 ภาพที่ 2.15 ตัวอย่างอินโฟกราฟิก Choose Attractive Colors 37 ภาพที่ 2.16 โมชันกราฟิก 38 ภาพที่ 2.17 ระบบสีแบบ RGB และ CMYK 40 ภาพที่ 2.18 ระบบสี HSB 41 ภาพที่ 2.19 ระบบสี LAB 42 ภาพที่ 2.21 สีขั้นที่ 1 43 ภาพที่ 2.2 2 สีขั้นที่ 2 43 ภาพที่ 2.2 3 สีขั้นที่ 3 44 ภาพที่ 2.2 4 การใช้สีในงานออกแบบ 46 ภาพที่ 2. 25 ตัวอย่างภาพในสตอรี่บอร์ดเแบบลายเส้นด้วยดินสอ 47 ภาพที่ 2.2 6 แบบฟอร์มการเขียนสตอรี่บอร์ดแบบที่ 1 49 ภาพที่ 2.2 7 แบบฟอร์มการเขียนสตอรี่บอร์ดแบบที่ 2 49 ภาพที่ 2.2 8 แบบฟอร์มการเขียนสตอรี่บอร์ดแบบที่ 3 50 ช สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพที่ 2.2 9 ตัวภาพในสตอรี่บอร์ดแบบลงสี 50 ภาพที่ 2. 30 โปรแกรม Adobe Illustrator CC 2019 51 ภาพที่ 2. 31 โปรแกรม Adobe After effects CC 2019 52 ภาพที่ 2 32 โปรแกรม Adobe Audition CC 2019 53 ภาพที่ 3.1 การออกแบบสื่อโมชันอินโฟกราฟิกด้วยโปรแกรม Adobe After Effect CC 86 ภาพที่ ก - 1 เมื่อเข้าสู่หน้า https://join.quizizz.com 116 ภาพที่ ก - 2 ใส่ชื่อผู้เล่น (แนะนาใช้ภาษาอังกฤษ) 117 ภาพที่ ก - 3 สามารถ Login ด้วย บัญชี ของ Google เพื่อเก็บคะแนนไว้ดูย้อนหลัง 117 ภาพที่ ก - 4 เมื่อพร้อมแล้วกดที่ปุ่ม START 118 ภาพที่ ก - 5 ตัวอย่างคาถาม โดยผู้เล่น เลือกตอบคาตอบที่คิดว่าถูกต้อง 118 ภาพที่ ก - 6 ตารางคะแนนอันดับการตอบเร็วและตอบถูก แสดงจัดอันดับกับผู้เล่นคนอื่น ๆ 119 ภาพที่ ก - 7 สรุปผลการเล่นเกมตอบคาถาม 119 ภาพที่ ก - 8 สื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ บนเว็บไซต์ Youtube.com 120 ภาพที่ ก - 9 การเก็บข้อมูลวิจัยด้วยวิธีการส่งลิ้งค์ทางออนไลน์ 121 ภาพที่ ก - 10 แผ่น แสดงขั้นตอนและวิธีการสาหรับลงพื้นที่กลุ่มเป้าหมายเพื่อเก็บข้อมูลวิจัย 122 บทที่ 1 บทน า 1.1 ที่มาและความส าคัญของปัญหา สถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อเอชไอวี ในประเทศไทย ดาเนินมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานานมากกว่า 34 ปี นับตั้งแต่ ได้รับรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายแรกของประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2527 สาเหตุหลักของการแพร่ระบาดเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ข้อมูลการ เฝ้าระวังทางระบาดวิทยาและการสารวจพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เอชไอวี บ่งชี้ว่าการลดลงของจานวนผู้ติดเชื้อฯ รายใหม่ในประเทศไทยน้อยลง การเฝ้าระวังการติดเชื้อฯราย ใหม่พบแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หญิงบริการและกลุ่มทหารคัดเลือกใหม่เข้ากอง ประจาการที่ อายุ 20 – 24 ปี ซึ่งสอดคล้องกับผลการสารวจพฤติกรรมในกลุ่มเยาวชน พบว่าการมีคู่ เพศสัมพันธ์หลายคนและการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้เยาวชน ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น จากรายงานผู้ป่ว ยโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ มีจานวนสูงสุดอยู่ใน กลุ่มเยาวชนอายุ 15 - 24 ปี และพบว่า 1 ใน 5 ของแม่ที่ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรในปี พ.ศ. 2551 มีอายุน้อยกว่า 20 ปี สาหรับในกลุ่มประชากรที่มีภาวะเสี่ยงสูง ใน กลุ่ม พนักงานบริการหญิง ( Female Sex Worker : FSW ) ชายมีเพศสัมพันธ์ กับชาย ( Men who have Sex with Men : MSM ) พบการติดเชื้อฯ รายใหม่ในกลุ่มที่ทางานบริการนอกสถานบริการเพิ่ม สูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี พ.ศ. 2551 และมีการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงกว่า พนักงานบริการที่ทางานบริการในสถานบริการประมาณ 5 เท่า ซึ่งพนักงานบริการกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ เข้าไม่ถึงระบบบริการป้องกันดูแลรักษา รวมทั้งการได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกัน ตนเองจากการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากอดีตกลุ่มประชากรที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายที่ติดจากหญิงขา ยบริการ แต่ปัจจัย สถานการณ์เปลี่ยนไป พบว่ากลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายมีแนวโน้มการติดเชื้อฯเพิ่มมากขึ้นอย่างน่า เป็นห่วง ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากสังคมปัจจุบันประชากรกลุ่มนี้มีจานวนเพิ่มมากขึ้น สังคมยอมรับมากขึ้น และมีสถานที่พบปะสังสรรค์เฉพาะกลุ่ม มีการเปิดเผยตั วมากขึ้น ดังนั้นจึงทาให้อัตราการติดเชื้อของ ประชากรกลุ่มนี้มีมากขึ้น ความชุกการติดเชื้อฯ ของกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่เมืองใหญ่ที่มีความ เจริญทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสถานบันเทิง ได้แก่ กรุงเทพมหานครเชียงใหม่ และภูเก็ต กล่าวคือ ที่มีอัตราติดเชื้อฯ ในปี พ.ศ. 2550 สูงถึงร้อยละ 17 - 31 ในปี 2553 อัตรา ติดเชื้อฯ เป็น 6 9 - 31 1 2 ภาพ ที่ 1.1 แผนภูมิอัตราผู้ติดเชื่อ HIV ใหม่ ( ที่มา : www avert org August, 2560 ) การระบาดของการติดเชื้อฯ ในประชากรกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายนี้จะเป็นตัว ขับเคลื่อนหลักของการระบาดของการติดเชื้อฯในประเทศไทยในอนาคต ซึ่งหากพฤติกรรมเสี่ยงใน กลุ่มเป้าหมายยังคงเป็นเช่นในปัจจุบัน คาดว่าสัดส่วนการติดเชื้อฯ รายใหม่ในปี พ.ศ. 2568 กว่าครึ่ง จะเป็ นการติดเชื้อในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ภาพ ที่ 1.2 สัดส่วนคาดการณ์ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละกลุ่มคน ระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2562 (ที่มา : www avert org, 2560 ) 3 จากการศึกษา มีรายงานโอกาสติดเชื้อไวรัส เอชไอวี ( HIV ) หรือ เอดส์ ( AIDS ) จากผู้ที่ติดเชื้อ เอดส์โดยประมาณต่อการกระทา/สิ่งที่เกิดขึ้น 1 ครั้ง (ทั้งนี้ถ้าเป็นเพศสัมพันธ์ จะเป็นกรณีไม่ได้ใช้ ถุงยางอนามัย) ดังนี้ ตาราง ที่ 1.1 แสดงโอกาสการติดเชื้อเอชไอวี ( Risk of getting HIV ) ช่องทางการติดเชื้อ โอกาสติดเชื้อประมาณ (%) จากได้รับเลือดของผู้ติดเชื้อ 90 00 ลูกติดเชื้อจากการคลอดเมื่อมารดาติดเชื้อเอดส์ 25 00 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน 0.67 พลาดถูกเข็มฉีดยาผู้ติดเชื้อแทงหรือต า 0.3 0 ชายหรือหญิงที่เป็นฝ่ายรับหรือถูกสอดใส่ทางทวารหนัก 0.04 - 3.0 0 ชายที่เป็นผู้สอดใส่ทางทวารหนัก 0 03 หญิงที่ร่วมเพศทางช่องคลอด 0.05 - 0.3 0 ชายที่ร่วมเพศทางช่องคลอด 0.01 - 0.38 ฝ่ายรับหรือฝ่ายถูกสอดใส่จากการร่วมเพศทางปาก ( Oral sex ) 0.04 ฝ่ายสอดใส่ทางปาก 0.005 (ที่มา : haamor com , 2556 ) หมายเหตุ : โอกาสติดเชื้อจะสูงขึ้นในกรณี ไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศ (การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง และในทุกรูปแบบของ เพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี ได้มากกว่า 90% และยังป้องกันโรคติด ต่อทางเพศสัมพันธ์ อื่น ๆ เช่น หนองใน ซิฟิลิส ได้มากกว่า 90% รวมทั้งยังป้ องกันการตั้ง ครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ด้วย) - ถ้าเป็นการร่วมเพศทางทวารหนักในหมู่รักร่วมเพศ โอกาสติดเชื้อจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 1.4 - 1.7% - การรวมเพศกับหญิง - ชายที่ขายบริการ โดยการติดเชื้อจากหญิงสู่ชาย ประมาณ 2.4% และ จากชายสู่หญิงประมาณ 0.05% - ร่วมเพศทุกรูปแบบในขณะ มีแผลในส่วนที่ร่วมเพศ หรือ แผลสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากการร่วมเพศ แนวทางการแก้ไขปัญหา จากปัญหา ที่ กล่าว มา ข้างต้น ผู้จัดทาได้เล็งเห็นความสาคัญของ ปัญหา การติดเชื้อเอชไอวี และ โรคเอดส์ เพื่อให้ผู้คนมีความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ผู้วิจัยเห็นว่าถ้าหากมี 4 การพัฒนาสื่อโมชันอินโฟกราฟิก เพื่อมานาเสนอข้อมูล ดังกล่าว จะช่วยให้การนาเสนอเป็นที่น่าสนใจและ ทาให้ ผู้รับชมสื่อ เข้าใจได้ง่ายขึ้น ผู้พัฒนาจึง คิด ได้ พัฒนาสื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่องเอช ไอวีไม่เท่า กับ เอดส์ นี้ ขึ้นมา 1.2 วัตถุประสงค์ 1 2 1 เพื่อพัฒนาสื่อโมชันอินโฟกราฟิก และ ใช้ในการเผยแพร่ความรู้สาหรับกลุ่มเป้าหมาย 1.2.2 เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และทัศนคติ เกี่ยวกับเอชไอวีและโรคเอดส์ที่ถูกต้องแก่ ผู้ชม โดยเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจด้วยแบบทดสอบก่อนเและหลังชมสื่อ 1.2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้รับชมที่มีต่อสื่อโมชันกราฟิกเรื่องเอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ 1.3 ขอบเขตของ งานวิจัย 1 3 1 กลุ่มเป้าหมาย นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม นักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ และ นักศึกษาใน จังหวัดนครปฐมหรือบริเวณใกล้เคียง จานวน 100 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย 1 3 2 ใช้ แบบทดสอบก่อนและหลัง ชมสื่อ ออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ quizizz com แบบปรนัย 4 ตัวเลือกจ านวน 10 ข้อ 1.3. 3 โมชัน อินโฟ กราฟิกมีเสียงดนตรีและเสียงบรรยาย และ คาบรรยายประกอบ ( subtitle ) 1.3. 4 โมชันอินโฟกราฟิก รับชมผ่าน เว็บไซต์ youtube com หรือ แอปพลิเคชัน Youtube บน อุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต 1 3 5 ผู้รับชมสื่อทาแบบประเมินความพึงพอใจสื่อผ่าน ระบบ Google fo rm 1 3 .6 สื่อโมชันอินโฟกราฟิกมีความยาวประมาณ 8 นาที 1.3. 7 เนื้อหาที่ใช้ 1.3. 7.1 ความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและเอดส์ 1.3. 7.2 ช่องทางการติดต่อ พฤติกรรมเสี่ยง และ พฤติกรรมที่ไม่เสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี 1.3. 7.3 การดูแลและป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวี 1.3. 7.4 วิธีการตรวจเอชไอวี 1.3. 7.5 ยาต้านไวรัส 5 1.3. 8 ซอฟต์แวร์ ที่ใช้พัฒนาสื่อ 1.3. 8 .1 โปรแกรม Adobe Illustrator CC ใช้ สร้างกราฟิกวัตถุแบบนิ่งของอินโฟกราฟิก 1.3.8.2 โปรแกรม Adobe After Effect CC ใช้สร้างการ เคลื่อนไหว ให้ วัตถุเพื่อ สื่อสาร ให้ ตรง กับ เนื้อหาที่ต้องการนาเสนอ 1.3.8.3 โปรแกรม Adobe Audition CC ใช้ปรับแต่ง เชื่อมโยงเสียงให้เหมาะสมกับ ภาพเคลื่อนไหว 1. 3. 9 ฮาร์ดแวร์ที่ใช้พัฒนาสื่อ 1. 3.9 1 Model: ASUS K 550 CC 15.6 " (1366 x768 ) 1. 3.9 .2 Processor : Intel® Core ™ i 5 - 3337 U (3 M Cache, up to 2.70 GHz ) 1. 3.9 .3 Graphics : N VIDIA Geforce 720 M / 2 GB 1. 3.9 .4 Storage: SSD 240 GB KINGSTON HyperX FURY ( Windows 10 Pro 64 - bit ) 1. 3.9 .5 RAM : 12 GB (4 GB x1, 8 GBx1 ) DDR3 B us 1666 MHz 1.3.9.6 Monitor 2 nd : LED M onitor A cer 24" G237HL ( HDMI 1920x 1080 60Hz ) 1.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1.4.1 เพื่อให้ได้สื่อโมชันกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ ที่มีประสิทธิภาพ 1.4.2 ผู้ชมสื่อพึงพอใจในการรับชมสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ 1.4.3 เพื่อรณรงค์การเสริมสร้างสุขอนามัยให้ผู้ชมปลอดภัยจากโรคเอดส์ 1.4.4 เพื่อให้ผู้ชม นาความรู้ที่ได้ไปบอก ต่อ หรือ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ผู้อื่นได้ต่อไป 6 1. 5 ระยะเวลาด าเนินงาน ในการศึกษาและพัฒนา สื่อโมชันกราฟิก เรื่อง เอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ ใช้เวลาประมาณ 4 เดือน หรือ 16 สัปดาห์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 ซึ่งสามารถแสดงรายละเอียดการดาเนินงานได้ดังนี้ ตารางที่ 1. 2 แสดงระยะเวลาการด าเนินงานทั้งหมดของโครงการ ขั้นตอนการดาเนินงาน ระยะเวลา (สัปดาห์) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 1. ศึกษา และรวบรวมข้อมูล 2. วิเคราะห์เนื้อหาที่ใช้ในอินโฟกราฟิก 3. ก าหนดแนวคิดและทิศทางของงาน 4. เขียนบทอินโฟกราฟิก 5 . ออกแบบตัวละคร 6 . ออกแบบลาดับภาพ ( Storyboard ) 7 . ออกแบบ - ส ร้างอินโฟกราฟิกแบบนิ่ง 8 ออกแบบ การเคลื่อนไหวอินโฟกราฟิก 9 . พากย์เสียงให้โมชัน อินโฟ กราฟิก 1 0 . ทดสอบ ทดสอบและปรับปรุ งสื่อ 1 1 . ทาการ Render 1 2 จัดทาเอกสารประกอบโครงงาน บทที่ 2 หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ในการทาโครงงานสื่อโมชันอินโฟกราฟิก เรื่องเอชไอวีไม่เท่ากับเอดส์ผู้จัดทาโครงงานได้ศึกษา หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเอกสารและแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ประกอบด้วยรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.1 เชื้อไวรัสเอชไอวี โรค ติดเชื้อเอชไอวี ( HIV ) คือ โรคจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ ( AIDS, Acquired Immune Deficiency Syndrome หรือ Acquired Immune Deficiency Syndrome ) ซึ่งทั่วโลกเริ่มรู้จักโรคเอดส์ ประมาณปี ค.ศ. 1981 ทั้งนี้การติดเชื้อไวรัสเอชไอวีพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่ ท ารกในครรภ์ไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งในปลายปี ค.ศ. 2009 ประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อ เอชไอวี ทั่วโลกทั้งหมด ประมาณ 33.3 ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อนี้สูงถึง ประมาณ 1. 8 ล้านคน โดยโรคจากติดเชื้อเอชไอวี พบได้ทั่วโลก เป็นโรคระบาด และเป็นโรคติดต่ อร้ายแรง ซึ่งพบได้มากที่สุดใน ประเทศแถบ แ อฟริก า 2.1.1 เชื้อไวรัสเอชไอวี เชื้อไวรัสเอชไอวี ( HIV ย่อมาจากคาว่า Human Immunodeficiency Virus ) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มรีโทรไวรัส ( Retrovirus ) และอยู่ในตระกูล เลนติไวรัส ( Lentivirus family ) เชื้อไวรั สเอชไอวีสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะทางพันธุกรรม ได้แก่ เอชไอวี - 1 ( HIV - 1) และเอ ชไอวี - 2 ( HIV - 2) ทั้งสองชนิดสามารถทาให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์ได้ โดยเอชไอวี - 1 พบ มากกว่าและจะพบในผู้ป่วยในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา และส่วนกลางของทวีป แอฟริกา ในขณะที่ เอชไอ วี - 2 จะพบในผู้ป่วยของประเทศอินเดีย และ แอฟริกา ตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ อาการ และการดาเนินโรคของ เชื้อทั้งสองชนิดคล้ายคลึงกัน รูปร่างของไวรัสเอชไอวี เป็นรูปร่างกลม แกนกลางเป็นรูปกรวยล้อม รอบด้วยชั้นไขมันบาง ๆ ภายในแกนกลางของเชื้อมีโปรตีนชื่อ p 24 ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดที่กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์สร้าง ภูมิคุ้มกันต้านทาน หรือ แอนติบอดี( Antibody ) ต่อไวรัสนี้ ซึ่ง แอนติบอดีตัวนี้ แพทย์ใช้ในการตรวจ วินิจฉัยผู้ป่วยว่าติดเชื้อนี้หรือไม่ นอกจาก นั้น ยังประกอบด้วย เอนไซม์ อีก 3 ชนิดที่ใช้ในการเจริญเติบโต ของไวรัสนี้ คือ โปรตีเอส ( Protease ) รีเวิสทรานสคริปเตส ( Reverse transcriptase ) และอินตีเกรส ( Integrase ) เปลือกนอกสุดของไวรัสเป็นโมเลกุลของโปรตีนกับคาร์โบไฮเดรตรวมกัน ( Glycoprotein ) ชื่อ gp 120 และ gp 4 1 ซึ่งใช้ในการเข้าไปในเซลล์ที่เป็นเป้าหมายของไวรัสชนิดนี้ 8 เซลล์ที่เป็นเป้าหมายหลักของไวรัสเอชไอวี คือ เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยท์ ( Lymphocyte ) ชนิด ที เซลล์ ( T - cell ) ที่มี ซีดี 4 เป็นบวกที่บริเวณผิวนอกของเซลล์ ( CD 4 positive T - cell, สารเกี่ยวข้อง กับภูมิคุ้มกันต้ านทานโรค) ซึ่งเซลล์นี้มีบทบาทสาคัญมากในการทางานของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค 2.1.2 ความแตกต่างของโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอกับโรคเอดส์ เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวี จะมีอาการ และความผิดปกติแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 2.1.2 .1 ระยะตั้งต้นเมื่อติดเชื้อไวรัสใหม่ ๆ หรือ ระยะติดเชื้อปฐมภูมิ อาการผิดปกติของผู้ป่วยในระยะแรกนี้จะมีน้อย และสามารถหายไปเองได้ในเวลา 2 ถึง 4 สัปดาห์ ได้แก่ เจ็บ คอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มี ไข้ต่า ๆ อ่อนเพลีย น้าหนักลดเล็กน้อย ถ่ายอุจจาระเหลว ต่อมน้าเหลืองโต ซึ่ งมีความคล้ายคลึงกับอาการของ โรคไข้หวัดใหญ่ ทาให้วินิจฉัยถูกต้องได้ยาก ระยะแรกนี้ ยังไม่เรียกว่า โรคเอดส์ ( Primary infection ) เป็นระยะที่ไวรัสเข้าไปใน “ ทีเซลล์ ” และทาให้เซลล์เหล่านี้ตาย เป็นจานวนมาก ทาให้ “ ทีเซลล์ ” ในเลือดลดจานวนลง เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายไปทั่ วร่างกาย และกระตุ้น ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานที่สร้างแอนติบอดี ให้สร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสขึ้นมาภายในเวลา 3 ถึง 7 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อ ซึ่งแอนติบอดีนี้สามารถตรวจพบได้จากเลือด และเป็นสิ่งที่ใช้ในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัส ชนิดนี้ที่ชัดเจนมาก 2.1.2 .2 ระยะ ติดเชื้อเรื้อรังการติดเชื้อฉวยโอกาส อย่างรุนแรง ผู้ติดเชื้ออาจจะมีเชื้อราขึ้นที่ลิ้น หรือมี วัณโรค ปอดกาเริบ โรคเริม หรือโรคงูสวัด เกิดขึ้นได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงมาก และมักจะรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล ระยะนี้ของโรคก็ยังไม่เรียกโรคเอดส์ เช่นกัน ( Chronic infect ion ) หรือระยะสงบทางคลินิก ( Clinical latency ) ระยะนี้ เชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ใน ต่อมน้าเหลือง และในม้าม และจะแบ่งตัวเพิ่มปริมาณในอวัยวะทั้งสองนี้เป็นส่วนใหญ่ ปริมาณของ CD 4 positive T - cell ในเลือด จะค่อย ๆ ลดจานวนลงอย่างช้า ๆ ระบบภูมิคุ้ม กันต้านทานโรคของร่าง กาย จะไม่ สามารถก าจัดเชื้อไวรัสได้ เพราะ CD 4 positive T - cell จะลดจานวนลงเรื่อย ๆ ระยะนี้ส่วนใหญ่จะกิน เวลานาน 7 - 10 ปี โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน นอกจากนั้นการได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่าเสมอ จะเป็นการทาให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตอยู่ในระยะนี้ได้ยาวนานยิ่ งขึ้นกว่าแต่ก่อนสมัยที่ยังไม่มีการค้นพบยาต้านเชื้อ ไวรัส ซึ่งในระยะนี้ เซลล์ CD 4 positive T - cell ยังไม่ต่ามากจนเป็นสาเหตุ 2.1.2 .3 ระยะที่เป็นโรคเอดส์ ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นประจ า ปริมาณของ CD 4 positive T - cell จะต่ามาก ส่วนใหญ่ต่ากว่า 200 เซลล์ต่อไม โครลิตร และจะมีการติดเชื้อฉวยโอกาส ใน อวัยวะสาคัญอย่างรุนแรง เช่น ปอด มีอาการทางสมอง และมีมะเร็งชนิดต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ ที่พบบ่อย คือ โรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา ( Kaposi sarcoma ) และโรคมะเร็งต่อมน้าเหลือง ระยะนี้เป็นระยะที่ระบบ ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายถูกทา ลายเกือบทั้งหมดโดยเชื้อไวรัสนี้ ปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดจะ สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยจะมีไข้เรื้อรังนานเป็นเดือน ๆ อ่อนเพลียมาก น้าหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว 9 สรุป ก็คือระยะที่ 1 และ 2 ของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ยังไม่เรียกว่าเป็นโรคเอดส์ เรา จะเรียกระยะที่ 3 ของโรคว่าเป็นโรคเอดส์เท่านั้น 2.1.3 การชะลอหรือป้องกันไม่ให้เป็นโรคเอดส์ ปัจจุบัน วิธีที่จะชะลอให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะที่ 2 สามารถทาได้โดยให้ยาต้านเชื้อไวรัส อย่างสม่ าเสมอ ( Antiretroviral therapy ) ซึ่งยาที่ใช้ มักเป็นยาหลายตัวร่วมกันในอัตราส่วนต่าง ๆ ผู้ติดเชื้อต้องรับประทานยาตลอดไปไม่สามารถหยุดได้ ถ้าหยุดยาโรคจะกาเริบได้ และจะทาให้เชื้อดื้อยา และผู้ติดเชื้อต้องได้รับการเจาะเลือดเพื่อนับปริมาณเซลล์ CD 4 positive T - cell เป็นระยะ ๆ การปฏิบัติตัวของผู้ติดเชื้อก็มี ความสาคัญมากในการป้องกันไม่ให้โรคดาเนินไปเป็นโรคเอดส์ เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ส่าส่อนทางเพศ (เพราะอาจไปรับเชื้อไวรัสเพิ่มเข้าร่างกายมาอีก ซึ่งอาจเป็น คนละสายพันธุ์กับที่มีอยู่แล้วในร่างกาย) ระมัดระวังไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น วัณ โรค เพราะจะติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกาลังกายให้เหมาะสม หาวิธีการต่าง ๆ ในการลด ความเครียดและวิตกกังวล ไม่กินยาพวก สเตียรอยด์เพราะจะทาให้ติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 2.1.4 การเข้าพบแพทย์เมื่อสงสัยติดเชื้อเอชไอวี เมื่อใดก็ตามที่มีเพศสั มพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับคู่นอนที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่สามี ภรรยา การเที่ยวสถานบริการทางเพศโดยไม่ใช้ถุง ยางอนามัย ถุงยางฉีกขาดขณะร่วมเพศ ให้สงสัยไว้ก่อน ว่ามีโอกาสติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับการตรวจได้เลย ซึ่งแพทย์อาจจะนั ด ตรวจมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะในระยะ 3 - 7 สัปดาห์หลังได้ รับเชื้อ อาจยังตรวจไม่พบแอนติบอดี เพราะ ร่างกายยังสร้างไม่ทัน อาจต้องตรวจเลือดซ้าหลังจากนั้น ถ้ามีปัจจัย เสี่ยง และเกิดมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไข้ต่า ๆ ต่อมน้า เหลืองโต ท้องเสีย ถ่าย เหลว อ่อนเพลีย ซึ่ง อาจเป็นอาการของโรคในระยะที่หนึ่งได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจทันที เมื่อ น้าหนักลดมากและรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์ , เมื่อมีไข้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นสัปดาห์ โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์ , เมื่อท้องเสีย ถ่ายเหลวเรื้อรังเป็นสัปดาห์ ควรพบแพทย์ , เมื่อต่ อม น้าเหลืองที่คอ หรือขาหนีบ มีขนาดโ ต กว่าปกติ ควรพบแพทย์เช่นกัน 10 2.1.5 การวินิจฉัยแพทย์วินิจฉัยโดยแพทย์ว่าติดเชื้อเอชไอวีแล้ว การ วินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี วิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ในเลือดหรือไม่ หรือตรวจว่ามีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อ ไวรัสเอชไอวี (แอนติบอดี) เกิดขึ้น หรือไม่ ถ้ามี เรียกว่าเลือดบวกต่อ การตรวจไวรัสเอชไอวี ( HIV – POSITIVE ) แสดงว่าติดเชื้อแล้ว เราไม่ควรเรียกว่าเลือดบวกเฉย ๆ อย่าง เดียว เพราะการตรวจเลือดว่า มีผลบวก หรือลบ ในทางการ แพทย์นั้นสามารถตรวจได้หลายโรค เช่น โรค ซิฟิลิส โรคไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น ซึ่งถ้ากล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า เลือดบวก จะไม่ทราบว่าเลือดบวกต่อโรค อะไร อาจจะทาให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ ถ้าตรวจแล้วไม่พบเชื้อเอชไอวีเราเรียก ว่าผลเลือดเป็นลบต่อการตรวจ ไวรัสเอชไอวี ( HIV – NEGATIVE ) ในผู้ที่ตรวจเลือดครั้งแรกได้ผลบวก โดยมากแพทย์จะให้ตรวจซ้าอีกครั้ง หนึ่งโดยใช้วิธีที่เรียกว่า พีซีอาร์ ( PCR - polymerase chain reaction ) เพื่อให้มั่นใจแน่นอนว่าเลือดให้ ผลบวกแน่นอน การเจาะเลือดเพื่อนับจานวนเม็ดเลือดขาวชนิด “ ทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก ” จะพบ ว่า จานวนลดลงมาก เพราะเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ชนิดนี้ และจะทาลายเซลล์ชนิดนี้ไปเรื่อย ๆ การตรวจวิธีอื่น ๆ เช่น เอกซเรย์ ตรวจชิ้นเนื้อ (การตรวจทางพยาธิวิทยา) จะไม่สามารถให้การ วินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีได้ ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก จะไม่มีอาการผิดปก ติแต่อย่างใด ต่อ มาเมื่อโรคเป็นมากขึ้นจึง จะมีอาการต่อมน้าเหลืองโตทั่วตัว น้าหนักจะลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้น อาการต่าง ๆ เช่น อาการไข้ น้าหนักลด ลิ้นเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา ซึ่งเป็นอาการของโรคที่อยู่ในระยะเป็นโรคเอดส์ แล้ว หรือมีการติดเชื้อฉวย โอกาสแล้ว จะไม่ช่วยการ วินิจฉัยว่าติดเชื้อในระยะเริ่มต้นได้ 2.1.6 วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี การป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี มีหลายวิธี ได้แก่ 2.1.6 .1 เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่สามี หรือภรรยาของตัวเอง ต้องใช้ถุง ยางอนามัยเสมอ ฝ่ายชายจะมีเพศสัมพันธ์กับใค รต้องใช้ถุงยางอนามัยให้เป็นนิสัยโดยไม่มีข้อยกเว้น ฝ่ายหญิงจะมี เพศสัมพันธ์กับชายใด ต้องให้ฝ่ายชายใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ถ้าฝ่ายชายไม่ยอม ใช้ ต้องปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์โดยเด็ดขาด รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางปากและทางทวารหนักด้วย ก็ ต้องใ ช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเช่นกัน 2.1.6 2 ฝ่ายชายไม่ควรใช้ปากกับอวัยวะเพศหญิงที่ไม่ใช่ภรรยา เพราะอาจมีเชื้อไวรัสในน้ า เมือกจากช่องคลอดของฝ่ายหญิงได้ ถ้าเข้าปากฝ่ายชายแล้วอาจทาให้ฝ่ายชายติดเชื้อได้ เคยมีรายงานการ ติดเชื้อโดยวิธีนี้แล้วถึงแม้จะไม่มากเท่าการติดเชื้ อจากน้าอสุจิของฝ่ายชายก็ตาม 2.1.6 3 หลีกเลี่ยงการจูบปากกับคนที่ไม่รู้จัก หรือไม่ทราบว่าเป็นพาหะนาเชื้อหรือไม่ ถึงแม้ว่า ในน้าลายจะมีโอกาสน้อยที่จะมีเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ก็ไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าบังเอิญมีแผลภายใน ช่องปากก็อาจเป็นทาง เข้าของเชื้อไวรัสได้